Making Today a Better Tomorrow

ปี 2565 นับเป็นปีที่สถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ใน หลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และได้รับการคาดหมายว่าจะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติในอนาคตอันใกล้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เครือเจริญโภคภัณฑ์ เรียนรู้ที่จะปรับตัวและเตรียมองค์กรให้พร้อมรับมือกับทุกวิกฤตสถานการณ์ ด้วยการยึดมั่นต่อหลักค่านิยมองค์กร 6 ประการ นํามาบูรณาการให้เกิดผลสําเร็จในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด เมื่อการเว้นระยะห่างทางสังคมทําให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เครือเจริญโภคภัณฑ์ก็สามารถปรับวิธีการดําเนินงานตลอดทั้งองคาพยพ สร้างสรรค์ธุรกิจให้สอดรับกับชีวิตวิถีใหม่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค่านิยมองค์กร จึงเป็นกลยุทธ์สําคัญ ที่ช่วยผลักดันให้เครือเจริญโภคภัณฑ์สามารถเติบโตขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งยั่งยืน

กว่าหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา เครือเจริญโภคภัณฑ์ ผ่านวิกฤตสถานการณ์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งโรคระบาด การเมืองเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ต่างล้วนเป็นบททดสอบที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ จําเป็นต้องเรียนรู้ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อสร้างความยั่งยืน ให้เกิดขึ้นในทุกมิติ อย่างไรก็ตาม เครือเจริญโภคภัณฑ์ มีความตระหนักอยู่เสมอว่ารากฐานแท้จริงของความยั่งยืนนั้น เกิดจากประเทศชาติที่มีความผาสุกร่มเย็น นับเป็นความโชคดีของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่ได้รับโอกาสให้ดําเนินธุรกิจภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารอยู่ในราชอาณาจักรไทย ผืนแผ่นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยแหล่งทรัพยากรเป็นอู่ข้าวอู่น้ำจนได้รับการขนานนาม ว่า “ครัวของโลก” จึงเป็นภาระหน้าที่แห่งตนที่เครือเจริญโภคภัณฑ์และพนักงานทุกคนจะต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน

สุดท้ายนี้ ผมในนามของบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด ขอขอบคุณผู้มีส่วนได้เสียทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นและสนับสนุนการดําเนินงานของเครือเจริญโภคภัณฑ์ด้วยดีเสมอมาขอขอบคุณผู้บริหารและพนักงานในความมุ่งมั่นพยายามนําพา เครือเจริญโภคภัณฑ์ ฟันฝ่าวิกฤตในทุกสถานการณ์ สามารถก้าวขึ้นเป็นบริษัทชั้นนําระดับโลกได้อย่างมั่นคงยั่งยืน เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าและประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติและประชาชนต่อไป

ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่โลกและเครือเจริญโภคภัณฑ์ เผชิญกับความท้าทายและบททดสอบต่าง ๆ มากมายอย่างต่อเนื่องจากวิกฤต COVID-19 สู่ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหาโลกร้อน และในหลายประเทศทั่วโลกกําลังเผชิญกับปัญหาความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่ฝึกฝนให้เราได้ทบทวน ปรับตัว สร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับธุรกิจด้วยการสรรหาและพัฒนาผู้นํารุ่นใหม่ที่ดีและเก่ง ตลอดจนนําเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการแก้ปัญหา สร้างโอกาสในวิกฤตและพัฒนาตนเองเพื่อวางรากฐานสําคัญในด้านต่าง ๆ เตรียมความพร้อมก้าวสู่ ศตวรรษที่ 2 ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ไปพร้อมกับโลกที่กําลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว​

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เครือเจริญโภคภัณฑ์ยึดมั่นในค่านิยม 6 ประการ อันได้แก่ ปรัชญา 3 ประโยชน์คือการดําเนินธุรกิจเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ประชาชนและบริษัท การยอมรับความเปลี่ยนแปลง การทําเร็วและมีคุณภาพ โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีอันทันสมัยมาทำ เรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย อีกทั้งการดําเนินธุรกิจด้วยคุณธรรมและความซื่อสัตย์ ค่านิยมทั้ง 6 ประการนี้ช่วยให้เราสามารถปรับตัว ปรับแผนกลยุทธ์ในการดําเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงและพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนมาได้จนถึงปัจจุบัน และเป็นค่านิยมที่เราจะ ยึดมั่นอย่างมั่นคงต่อไป เพื่อก้าวข้ามความท้าทายที่กําลังเกิดขึ้นอย่างครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2573 ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยคํานึงถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ในทุกกิจกรรมการดําเนินธุรกิจ อีกทั้งพิจารณาความเสี่ยงและ โอกาสต่างๆ โดยคํานึงถึงสิทธิมนุษยชน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน และการมีส่วนร่วมของบุคลากร ผู้ประกอบการรายย่อยและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในสังคม ​

ในปัจจุบัน เครือเจริญโภคภัณฑ์ให้ความสําคัญกับการศึกษาและพัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกในการคิดค้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศการปกป้องระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติด้านแรงงาน การจัดการห่วงโซ่อุปทาน อย่างรับผิดชอบความมั่นคงทางพลังงาน ความมั่นคงด้านอาหารและการเข้าถึงโภชนาการ ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์มีความมุ่งมั่น

ตั้งใจและพยายามที่จะแก้ไขและป้องกันให้ดีที่สุด เพื่อการมีส่วนร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในปี 2565 ความมุ่งมั่นและความร่วมแรงร่วมใจของผู้บริหารและเพื่อนพนักงานในการสร้างองค์กรที่มีความมั่นคงและยั่งยืน ทําให้เครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นที่ยอมรับและได้รับการยกย่องโดยสถาบันระดับโลก กล่าวคือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้รับการคัดเลือกให้เป็น สมาชิกใน The Sustainability Yearbook 2023 ของ S&P Global และได้รับการพิจารณาให้เป็นบริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลกจากสถาบัน Ethisphere ​

ในนามของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ผมขอขอบพระคุณ ผู้บริหารอาวุโส คณะกรรมการ ผู้บริหาร และเพื่อนพนักงานทุกท่าน ผู้เป็นกําลังสําคัญในการสร้างเครือเจริญโภคภัณฑ์ให้เป็นองค์กรที่มีความมั่นคง เข้มแข็งและยั่งยืน สามารถก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ มาโดยตลอด ทั้งนี้ผมหวังว่าด้วยพลังความร่วมมือร่วมใจของเรา ผนึกกับพลังและความรู้ความสามารถของผู้นํารุ่นใหม่ที่ดีและเก่งทุกคนจะสามารถสร้างความยั่งยืน “สร้างพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” ให้กับโลก ประเทศชาติ ประชาชน สังคม และชุมชนต่อไปสู่ศตวรรษหน้า ​

ในปี 2565 เครือเจริญโภคภัณฑ์มีการฟื้นตัวทางธุรกิจ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความรุนแรงของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ลดลง การผ่อนผันการเดินทางของหลาย ๆ ประเทศ และจากการที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์และเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ปัจจุบันทุกประเทศทั่วโลกกําลังเผชิญกับความท้าทายที่เป็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก หรือ Global Megatrends ซึ่งมีด้วยกัน 6 ด้าน ได้แก่ 1. ความเหลื่อมล้ำ 2. การเปลี่ยนสู่ดิจิทัลและพลังงาน 3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4. ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง 5. โลกสองขั้วอํานาจ และ 6. การเผชิญในเรื่องสุขภาพและโรคระบาด เครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีการปรับ แผนกลยุทธ์และการดําเนินธุรกิจให้รับมือกับความท้าทายดังกล่าว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพื่อส่งมอบคุณค่า ที่ยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติ ประชาชน พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน

นอกเหนือจากการกําหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2573 ที่ครอบคลุมทั้ง 3 มิติของความยั่งยืนแล้ว เครือฯ ได้ยกระดับการดําเนินงาน โดยมุ่งเน้นไปที่ 3 เป้าหมายหลักที่มีความท้าทายสูง คือ 1. การมุ่งมั่นเป็น องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 2. การลดขยะ ของเสียเป็นศูนย์ภายในปี 2573 และ 3. การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยมุ่งเน้นผ่านการพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อให้ทุกเพศ ทุกวัยสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่มี คุณภาพ และเข้าถึงได้ง่ายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคน เพราะเครือฯ เชื่อมั่นว่า การทําธุรกิจต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ต้องคิดไปพร้อมกับการตั้งเป้าหมายความยั่งยืน ในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในประชาคมโลกในการหาแนวทางแก้ไข และลดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ทุกประเทศและทุกคนต้องทำร่วมกัน

เป้าหมายประการแรก คือ การมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ถือเป็นภารกิจสําคัญที่ยิ่งใหญ่ของเครือฯ เราได้กําหนดเป้าหมายฯ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยอยู่บนพื้นฐานของหลักการทางวิทยาศาสตร์ หรือ SBTi นอกจากนี้ เครือฯ ได้เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจ ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ตั้งแต่กระบวนการคิดค้นการออกแบบการผลิตการขนส่ง และการให้บริการ เพื่อลดผลกระทบตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำและที่มากไปกว่านี้ เครือฯ ได้ร่วมมือกับคู่ค้าและพันธมิตรจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างผลกระทบในเชิงกว้าง และเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและ มีคุณค่า อาทิ กรอบความร่วมมือการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน แห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact หรือ UN Global Compact) สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) และ สภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (World Business Council on Sustainable Development win WBCSD)

เป้าหมายที่สอง คือ การลดขยะของเสียเป็นศูนย์ ภายในปี 2573 เครือฯ มุ่งเน้นไปที่การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดการพึ่งพาทรัพยากรทางธรรมชาติเพิ่มสัดส่วนการใช้ผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ เพื่อส่งมอบอาหารส่วนเกินให้แก่กลุ่มเปราะบาง

เป้าหมายที่สาม คือ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เรามุ่งเน้นไปที่การให้ความสําคัญกับเรื่องของ “การศึกษา” สนับสนุนส่งเสริมให้ มีการพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อให้ทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม นอกจากนี้ยังให้ความสําคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น เข้าถึงได้ง่ายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคน

ปี 2565 นับเป็นอีกปีแห่งความสําเร็จในด้านความยั่งยืนของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยได้เข้าร่วมการประเมินด้านความยั่งยืน ของ S&P Global และได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 3 ใน กลุ่มอุตสาหกรรม Industrial Conglomerate โดยได้คะแนนสูงสุดในมิติด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังได้รับการประเมินด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจาก CDP (หรือ เป็นที่รู้จักในชื่อ Carbon Disclosure Project) ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ด้านบริหารการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ระดับ A- ความสําเร็จเหล่านี้ตอกย้ำให้เราต้องก้าวต่อไปเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับโลกของเรา

สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณผู้บริหารและพนักงานทุกท่าน ทุ่มเท กําลังอย่างเต็มความสามารถ ในการช่วยกันขับเคลื่อนเครือฯ ผ่านด่านความท้าทายครั้งสําคัญอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงขอขอบคุณผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ในการสร้างความร่วมมือหาแนวทางการแก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้กับโลกใบนี้อย่างยั่งยืน เพราะเราไม่สามารถทําเพียงลําพังได้ ต้องอาศัยความร่วมมือเชื่อมโยงทุกคน เพื่อสร้าง “วันพรุ่งนี้ ที่ดีกว่า” ไปด้วยกัน